เป็นที่รู้กันดีกว่ากัญชาในแต่ละสายพันธุ์นั้นมีกลิ่น คุณสมบัติ และการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยหนึ่งในกัญชาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ Green Crack กัญชาที่มาพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัว และสรรพคุณในการช่วยปลุกสมองให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า และเป็นสายพันธุ์ที่ยังคงได้รับความนิยมจากสายเขียวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง four twenty จึงอยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับกรีนแครก ว่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน มีกลิ่นและรสชาติอย่างไร สูบ Green Crack แล้วมีอาการแบบไหน รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการดูแลสำหรับมือใหม่ที่สนใจอยากจะทดลองปลูก Green Crack ด้วยตนเอง พร้อมแล้วตามไปอ่านกันได้เลย
Green Crack เป็นกัญชาลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ Sativa และ Indica โดยเชื่อว่าเป็นลูกหลานของ Skunk #1 และ Afghani จุดกำเนิดของ Green Crack นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการสายเขียว บ้างก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดในเมืองเอเธนส์ประเทศจอร์เจีย ในปี 1970 หรือเชื่อว่าถูกผสมขึ้นโดยนักพัฒนาสายพันธุ์ชื่อ Cecil C. ในรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี 1990 แต่ไม่ว่าที่มาจะเป็นอย่างไร Green Crack ก็ยังเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ Sativa ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในประเทศไทยและต่างประเทศ
ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อของ “Green Crack” กรีนแครก เคยถูกเรียกว่า “Green Cush” หรือ “Mango Crack”
มาก่อน แต่ได้ถูก Snoop Dogg เจ้าพ่อเรปเปอร์ขวัญใจสายเขียวชื่อดัง ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น “Green Crack” เพราะคุณสมบัติในการทำให้ผู้สูบรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน และกลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกัญชาสายพันธุ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากกรีนแครกเป็นลูกผสมของสายพันธุ์ Sativa กับ Indica (65% Sativa และ 35% Indica) ทำให้ Green Crack เป็นสายพันธุ์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือมีลักษณะรูปร่างที่คล้ายกับสายพันธุ์ Indica แต่กลับมีสรรพคุณทางเคมีเหมือนกับสายพันธุ์ Sativa ที่มักมีค่า THC สูงและ CBD ต่ำ โดย Green Crack นั้นมีค่าเฉลี่ย THC ที่สูงมากถึง 16% และมีค่าเฉลี่ยปริมาณ CBD อยู่ที่ 0.2% เท่านั้น
ใบของกรีนแครกมีสีเขียวปนเหลือง และอาจมีริ้วหรือลายสีม่วงเกิดขึ้นบนใบกัญชาเมื่อเจอกับอากาศที่หนาวเย็น Green Crack มีช่อดอกที่ลีบแบน แต่รวมตัวกันเป็นก้อน เกสรตัวเมียมีสีคล้ายสนิม ในขณะที่ดอกกัญชาจะถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ที่เรียกว่าไตรโคม (Trichomes) ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องดอกกัญชาจากลำแสง UV และจากศัตรูพืชบางชนิด
นอกจากนี้ Green Crack ยังมีกลิ่น และรสสัมผัสที่โดดเด่นเฉพาะตัว โดยมักมีกลิ่นคล้ายผลไม้รสเปรี้ยว (Citrus) ผลไม้เมืองร้อน (Tropical Fruit) หรือ กลิ่นมะม่วงซึ่งเป็นที่มาของฉายา “Mango Crack” นั่นเอง โดยหลังจากที่สูบแล้วก็จะทิ้งรสหวานกลมกล่อมของผลไม้เมืองร้อนเอาไว้ในปาก และมีกลิ่นหอมนวลของเปลือกไม้และดินผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย
เนื่องจาก Green Crack เป็นสายพันธุ์ลูกผสม กรีนแครกจึงมีทั้งสาร THC และ CBD อยู่ในตัว (แม้ว่าปริมาณ CBD จะน้อยมากๆ จนแทบไม่มีเลยก็ตาม) ทั้งสาร CBD และ THC เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญที่สามารถพบได้ในกัญชา ซึ่งมีจุดเด่นดังนี้:
ประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้ Green Crack รีวิวส่วนใหญ่ระบุว่า สามารถช่วยคลายความเหนื่อยล้า ลดความเครียด และภาวะซึมเศร้า ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ช่วยเพิ่มสมาธิ และทำให้ช่างพูด เหมาะที่จะใช้ในช่วงเช้า
สำหรับมือใหม่ที่สนใจจะปลูกกัญชา กรีนแครกถือเป็นสายพันธุ์เริ่มต้นที่ดูแลได้ง่าย และให้ผลผลิตในปริมาณที่น่าพึงพอใจ ออกดอกเร็วใน
7-8 สัปดาห์ และสามารถเติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 72-80 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 22-26 องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ที่มีแสงแดดและมีความชื้นต่ำ ดังนั้นแม้ว่าจะสามารถปลูกกลางแจ้ง แต่สำหรับเมืองไทยซึ่งเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น การปลูกในระบบปิดจะสามารถดูแลได้ง่ายกว่าและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ลำต้นของ Green Crack สามารถเติบโตเต็มที่ได้มากถึง 90-120 ซม. หากต้องการได้รับผลผลิตที่ดีที่สุด ควรทำการตัดแต่งกิ่งบริเวณส่วนยอด เพื่อให้แสงแดด หรือแสงจากหลอดไฟ (ในกรณีของระบบปิด) สามารถลอดผ่านมาถึงกิ่งด้านล่าง เพื่อให้กรีนแครกผลิตดอกออกมาให้มากที่สุด
นอกจากนี้ เพื่อให้ได้ Green Crack คุณภาพดี การเก็บและบ่มกัญชา (Curing) ก็เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้การปลูกและการดูแล โดยหลังจากที่ทำการเก็บเกี่ยวช่อดอกแล้ว ควรนำช่อดอกมาแขวน และผึ่งลมให้แห้ง ในห้องอุณหภูมิประมาณ 70 องศาฟาเรนไฮต์ (~21 องศาเซลเซียส) และความชื้นประมาณ 50% เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้นำกรีนแครกที่ผ่านการตากแห้ง ใบบ่มต่อในขวดโหล และเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 70 องศาฟาเรนไฮต์ และความชื้นประมาณ 60-65%
วันที่โพสต์ : 26 พฤษภาคม 2023